พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ส่วนกลางคณะกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ประจำจังหวัด ผู้มีจิตศรัทธานักเรียนทุนพระราชทานการศึกษาสงเคราะห์ และสื่อ ...
การที่ท่านทั้งหลายมาชุมนุมกันในวันนี้ ก็นับว่า เป็นวาระที่น่าปลื้มใจ ที่แสดงให้เห็นว่ามูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ได้มีอายุ ๒๐ ปี และที่สำคัญที่สุด ๒๐ ปีนี้ ที่ผ่านมาได้เป็นเวลาที่มีความก้าวหน้ำของมูลนิธิ และมูลนิธิก็สามารถที่จะปฏิบัติงาน ให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์อย่างมากมาย
เป็นการทำงาน
เพื่อแผ่เมตตากรุณา ให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่มีความเดือดร้อนในกรณีต่างๆยี่สิบปีนั้น ก็นับว่า เป็นเวลาที่ช้านำน และเป็นเวลาที่ควรจะมาพิจำรณาดูว่า งานที่ทำมาได้ทำอะไรบ้าง เริ่มต้นด้วยอะไรบ้าง ในเรื่องของประวัติของมูลนิธิ ก็เข้าใจว่า ไม่ต้องกล่าวมากนักเพราะว่าท่านทั้งหลายก็คงทราบกันดีว่า มูลนิธินี้มาอย่างไร ไปอย่างไร แต่ก็ขอย้ำอยู่ว่า การที่มูลนิธิได้เติบโตมาถึงทุกวันนี้ ได้ทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมนี้ ได้เช่นนี้ ก็จะต้องค่อยๆ ก้าวหน้ำ และค่อยๆ เติบโตขึ้น เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์สำคัญ คือ วาตภัยแหลมตะลุมพุก ซึ่งถือว่าเป็นวาตภัยที่เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวที่สุด และเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ประชาชนคนไทยทั่วประเทศ เกิดความสะเทือนใจ และเป็นครั้งแรกที่ได้มีการช่วยเหลือกันอย่างพร้อมเพรียงทั่วประเทศ เพื่อที่จะไปช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยและในครั้งนั้นก็คือคนผู้ที่มีจิตศรัทธา ได้บริจำคเงินเพื่อจะนำไปสงเคราะห์ผู้ที่ประสบภัยนั้นเป็นจำนวนมาก และทำให้ผู้ที่ประสบภัยได้มีความสบายขึ้น คือ บรรเทาทุกข์เขาได้อย่างรวดเร็วจึงเป็นตัวอย่างที่ดีว่า ถ้าใครประสบภัย ผู้ที่ไม่ได้ประสบภัยก็ควรที่จะเหลียวแลที่จะดู ที่จะให้บรรเทาความทุกข์ให้แก่เพื่อนมนุษย์และโดยเฉพาะ สำหรับอย่างในประเทศไทย เราก็เป็นประเทศที่มีชื่อเสียงว่า มีความสามัคคีกันดี ช่วยเหลือกันดี มีความเมตตากรุณาซึ่งกันและกัน การที่เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ร้ายนั้น ก็เป็นสิ่งที่น่าคิด และดูว่าตอนแรกช่วยกันอย่างไรตอนแรกนั้นก็ได้มีการบริจำคทั้งทรัพย์ทั้งสิ่งของและแรงงาน ที่จะช่วยผู้ประสบภัยนั้นให้ทันท่วงที และต่อไปก็เกิดความจำเป็นที่จะช่วยผู้ที่ประสบภัยในระยะยาว
ฉะนั้น การช่วยผู้ที่ประสบภัยนั้น แสดงให้เห็นว่า จะต้องช่วยในระยะสั้น หมายความว่าเป็นเวลาที่ฉุกเฉินต้องช่วยโดยเร็ว และต่อไป ก็จะต้องช่วยให้ต่อเนื่องไป สองหลักนี้เป็นเป้าหมายของมูลนิธิสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราจะพิจำรณาข้อแรกที่ว่า จะต้องช่วยให้ฉับพลัน ให้ทันท่วงทีนั้น มีความสำคัญมาก เคยได้เล่าให้ฟังว่า มีผู้ประสบภัยผู้หนึ่งได้มาพบ ในโอกำสอื่น ไม่ใช่โอกำสที่มาประสบภัย
แล้วเขามาบอกว่า “ขอบใจๆ” เขาขอบใจนั้น เวลาเขามาบอกว่าขอบใจก็ยังไม่เข้าใจว่า เขาเข้ามาแล้ว แล้วเข้ามา เขามาขอบใจๆ แต่แล้วเขาก็เข้ามาเล่าให้ฟัง บอกว่าเขาประสบภัย คือ อัคคีภัยและอัคคีภัยนั้นเกิดขึ้นตอนกลางคืน ตอนเช้ามีอาสาสมัครของมูลนิธิ มีเจ้าหน้ำที่ของมูลนิธิ กรรมการของมูลนิธิได้ไปแต่เช้า ไปที่ที่ประสบภัยซึ่งไม่ใช่ในกรุงเทพฯ แต่อยู่ในจังหวัดใกล้เคียง เขาบอกว่าเหตุนั้นที่ได้เห็นหน้ำผู้ที่ไปช่วยเหลือนั้น ทำให้จิตใจกลับคืนมา ทำให้สบายใจขึ้นและทำให้หายทุกข์ร้อนไปกว่าครึ่ง มิใช่ว่า เพราะว่าได้รับข้าวต้ม หรือได้รับสิ่งของที่จำเป็น แต่ว่าเพราะว่าได้รับน้ำใจ เพราะฉะนั้นการที่จะช่วยเหลือโดยฉับพลันนั้น ก็เป็นสิ่งที่สำคัญต้องช่วยด้วยวัตถุ คือ คนที่เดือดร้อนย่อมต้องมีสิ่งที่จำเป็น ซึ่งต้องใช้ทุกวัน โดยเฉพาะ เช่น อาหาร แต่ว่าที่สำคัญมาก คือกำลังใจ
เขาบอกว่า การที่ได้เห็นผู้ที่มาช่วยได้โดยทันทีนั้น ทำให้เขามีกำลังใจขึ้นมา และต่อมา ก็จะสามารถที่จะตั้งตัว ขึ้นมาใหม่ ไม่ล่มจม และที่เขาบอกว่า ขอบใจ เขาก็ขอบใจเรื่องน้ำใจ เพราะว่า เขาบอก เขาพูดตรงๆ ว่า การที่ได้รับสิ่งของนั้น ไม่ได้ช่วยในด้านวัตถุมากนัก เพราะว่า ที่เขาเสียหายไป เป็นมูลค่าเป็นจำนวนเงินมาก เป็นหมื่น เป็นแสน แต่ว่าที่ได้รับนั้น ก็เป็นเพียงเล็กน้อยแต่เขาบอกว่า นั้นไม่ใช่ของสำคัญ ของสำคัญนั้นคือน้ำใจ น้ำใจของผู้ที่มาช่วยเหลือ ให้กำลังใจโดยฉับพลันนั้น มูลนิธินี้มีหน้ำที่สำคัญอยู่ที่ว่า ไปให้ความอบอุ่น ไปช่วยเหลือโดยฉับพลัน ทำให้ผู้ที่ประสบภัย ตกทุกข์ได้ยาก ได้รับความช่วยเหลือ มีกำลังใจที่จะปฏิบัติงานต่อไป สร้างตัวขึ้นมาอันนี้ก็เป็นหน้ำที่ที่จะเรียกว่า หน้ำที่ฉับพลัน หรือหน้ำที่ในทันทีของมูลนิธิ
ส่วนเรื่องของการช่วยเหลือในระยะยาว ก็มีความจำเป็นเหมือนกัน และก็ได้ทำตั้งแต่ต้นของมูลนิธิที่ว่าได้ตั้งโรงเรียนสำหรับเด็ก ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจำกวาตภัยครั้งแรก ซึ่งก็มีผู้ที่มานั่งอยู่ข้างหน้ำนี้ ที่เป็นผลว่า เขาได้รับความดูแล เหลียวแล มาจนกระทั่งได้รับการศึกษา ที่สามารถทำมาหากินได้ โดยสุจริตและโดยมีประสิทธิภาพ เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ และก็คงเป็นพลเมืองดีมาก เพราะว่าเข้าใจ และได้ประสบความทุกข์มาตั้งแต่เล็กๆ และได้มีผู้มีจิตใจเมตตาไปช่วย ได้สามารถที่จะตั้งไว้ได้มีอนำคตที่แจ่มใส
ฉะนั้น ระยะยาวนี้ ก็ต้องมีเหมือนกัน ปัญหามีอยู่ว่า มูลนิธิได้ตั้งเป้าหมายที่จะไปช่วยในระยะสั้น คือ ฉับพลัน และในระยะยาวจะทำให้อะไรให้กว้างขวางออกไปอีกไหม เพราะทุกครั้งที่ได้มีการพิจำรณาที่จะขยายข่าย หรือข่ายงานของมูลนิธิ ก็จะต้องคิดให้ดีๆ เพราะว่าถ้าจะขยายออกไปก็ย่อมทำให้จะต้องมีการใช้จ่าย ทั้งทำงทรัพย์ และต้องใช้แรงงาน คือ ต้องออกงาน ออกกำลังมากขึ้น จะทำไหวหรือ อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะว่า ถ้าขยายงานมากเกินไป เร็วเกินไป ก็ย่อมจะเป็นผลให้งานนั้นเป็นไปตามที่เขาเรียกว่าบานปลาย คำว่า “บานปลาย” นี้เห็นว่าชัดๆ เป็นอย่างไร คือปลายนั้นก็บานออกไป บานคือกว้างเกินไป งานนี้ ถ้าไม่กว้างขวางเกินไป ก็พอที่จะควบคุมได้ แต่ถ้าบานปลายแล้วควบคุมไม่อยู่ เดี๋ยวมันร่วงไปก็จะกระจุยกระจำยไปหมด ทำให้ควบคุมไม่อยู่ และงานนั้นก็จะร่วงลงไป งานนั้นจะเสียไป
ฉะนั้น ท่านผู้ที่เป็นกรรมการ ตั้งแต่สมัยแรกๆ ของมูลนิธิก็คงเข้าใจดี เพราะก็เคยฟาดฟันกันมาก ในเรื่องขยายงานแล้ว ต้องไม่ให้บานปลาย แต่นี้เป็น ๒๐ ปีแล้ว ก็นับว่า มูลนิธิได้ขยายงานมา
ไม่ใช่น้อย แล้วก็มาพบกันในวันนี้ ก็เป็นจำนวนคนถึงเป็นพัน ก็นับว่าบานพอดูเหมือนกัน ก็เคราะห์ดีว่า ที่ประชุมนี้ก็บานเหมือนกัน ก็เลยสามารถที่จะมานั่งกันให้พอสบาย ถ้าหากว่าได้ประชุมกันจำนวนมากอย่างนี้ ในระยะแรกๆ ก็ไม่มีที่ ไม่มีห้องที่ใหญ่ พอที่จะต้อนรับท่านทั้งหลายฉะนั้น ก็ ๒๐ ปีมาแล้ว จึงได้ขยายงานมา ค่อยๆ ขยายงานขึ้นมา และสามารถที่ควบคุมได้ งานที่ขยายมาเป็นสำคัญ เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง ก็คือกรรมการจังหวัด ตอนแรกก็เป็นมูลนิธิที่บริหารขึ้นมาบริหารจำกกรุงเทพฯ แล้วก็ถ้ามีเหตุการณ์อะไร ที่ใดก็จะต้องส่งคนจำกกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ก็ส่งคนจำกกรุงเทพฯ จำกส่วนกลาง ท่านกรรมการบริหารทั้งหลาย ก็ทราบดีว่า ต้องไปท่องเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ และไปตรวจการณ์แต่ก็มีกรรมการจังหวัด ซึ่งสอดส่อง และทำงานให้เฉพาะจังหวัดนั้นๆ เกิดขึ้น และมีการช่วยกันบริจำคเงินเป็นจำนวนมาก ทำให้งานของมูลนิธิขยายตัวออกไปได้อย่างกว้างขวาง แต่ก่อนนี้ เมื่อเกิดเหตุอะไร ทำงจังหวัดได้รับอนุญาตให้จ่ายเงินเพียงไม่กี่พันบาท ทำให้การช่วยนั้น ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือได้เร็ว ตามข้อฉับพลัน คือว่า ความฉับพลันก็ไม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญต้องคอยรายงานเข้ากรุงเทพฯ แล้วกรุงเทพฯ ก็อนุมัติไป ซึ่งทำให้งานไม่เรียบร้อยและไม่เป็นประโยชน์ได้เต็มที่ มาเดี๋ยวนี้ ถ้าเกิดเรื่องสาธารณภัยที่ไหน ทำงจังหวัดก็สามารถที่จะดำเนินงานในขอบข่ายของราชการส่วนหนึ่ง คือ ในด้านงานของจังหวัด และด้านงานของประชาสงเคราะห์จังหวัด ก็ทำได้ แต่ว่าราชประชานุเคราะห์จังหวัด ก็ได้ช่วยได้เต็มที่เหมือนกันถ้าเป็นภัยที่กว้างขวาง ใหญ่โต ก็ต้องอาศัยทำงส่วนกลางด้วย แต่ก็นับว่า การขยายงานไปส่วนจังหวัดนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่ถ้าทำตั้งแต่ต้นแล้ว ก็คงเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ มาเดี๋ยวนี้รู้สึกว่าทำงานได้ดี แต่ก่อนนี้มีกรรมการจังหวัดเพียงไม่กี่จังหวัด เดี๋ยวนี้ ก็มาเป็นหลายสิบจังหวัด เกือบทั่วทุกแห่งที่ทำงาน คือ กรรมการราชประชานุเคราะห์มีทุกจังหวัดที่จะช่วยได้ทันทีฉะนั้น ก็งานของมูลนิธิก็ได้ดำเนินมาได้โดยดี และมีประสิทธิภาพ ข้อคิดที่ควรจะพิจำรณาในขณะนี้ก็ยังมีอยู่หลายอย่าง โดยเฉพาะให้เข้าใจว่างานของราชประชานุเคราะห์นี้ตามที่ได้ตั้งเอาไว้เป็นหน้ำที่ของมูลนิธิ ก็คือ ช่วยเหลือผู้ที่ประสบสาธารณภัย ซึ่งถ้ามาวิเคราะห์ศัพท์ว่าเป็น
อะไร ก็จะต้องพูดกันมากเหมือนกัน แต่ว่าที่พิจำรณาดู ก็มีโดยมากก็มี น้ำท่วม พายุ มีไฟไหม้ภัยทำนองนี้ ซึ่งถือว่าเป็นสาธารณภัย ถ้าขยายออกไป เป็นภัยจำกอื่นๆ ก็อาจจะใหญ่โตมากเกินไปเช่น ภัยจากสงคราม อันนี้บางทีก็พูดยาก ว่าอะไร ควรจะถือว่าเป็นภัย แต่ว่าภัยสงครามนั้น เป็นเรื่องที่เป็นภัยที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง เลยไม่ใช่ภัยธรรมชาติ สำหรับราชประชานุเคราะห์ ก็จะควรพิจำรณาในเรื่องของภัยธรรมชาติ แต่การแก้ไขหรือช่วยเหลือ ก็ต้องพิจำรณาดูว่าเมื่อเกิดภัยแล้วก็ช่วย แต่ว่าถ้ามีคนมาค้านว่า บางทีภัยนั้น ไม่จำเป็นที่เกิดขึ้น อาจจะป้องกันไว้ได้ เช่นภัย ถ้าสมมติว่าน้ำท่วม เพราะว่าไม่มีมาตรการป้องกันน้ำท่วม ก็เป็นภัยเหมือนกัน แต่ว่าป้องกันเอาไว้ ก็ไม่จำเป็นที่จะไปช่วย ไม่ต้องเสียแรง ไม่ต้องเสียเงินที่จะไปช่วย แต่ว่าจะต้องทำแผนการป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องพรรณอย่างนี้ หรือว่าเป็นเรื่องไฟไหม้นั้น ถ้าป้องกัน คือ ให้ระมัดระวัง แล้วก็คนที่เขามีความรู้ในด้านที่จะป้องกันมิให้ไฟไหม้ขึ้นมา ซึ่งส่วนมากมาจำกความบกพร่อง สะเพร่า เลินเล่อ ไม่ระมัดระวัง ที่จะป้องกันภัยเหล่านี้ ถ้าสอนหรือชี้แจง หรือควบคุมไม่ให้ภัยเหล่านี้เกิดขึ้น ก็ไม่ต้องไปช่วยคนที่ประสบภัย อัคคีภัย ที่จะอยู่ในขอบข่ายของงานมูลนิธิหรือเปล่า ก็น่าคิดเหมือนกัน แต่ว่าก็รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้
ควรจะทำอย่างที่ทำมา คือ มูลนิธินี้ตั้งขึ้นมา ได้อิงหรือได้ร่วมมือกับหน่วยราชการ และมูลนิธิเอกชนอื่นๆ องค์การเอกชนมาตั้งแต่ต้นโดยเฉพาะอย่างที่ตามรายงานที่ทุกคนได้ยินแล้ว และได้ทราบดีว่ามีการร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกองทัพทั้งสาม และตำรวจ ทั้งทำงกรมประชาสงเคราะห์ ก็ได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดการรถไฟหรืออะไรอื่นๆ ทุกองค์การช่วยกันตั้งแต่ต้น ก็ต้องให้การร่วมมือนี้ต่อเนื่องกันไป ไม่ใช่ว่า มูลนิธินี้จะมาทำงานทุกอย่าง ความจริงงานที่จะป้องกันก็เป็นงานของหน่วยงานอื่นๆ จะเป็นของทำงราชการหรือจะเป็นของทำงเอกชน ก็ได้มีองค์การอื่นๆ หน่วยราชการอื่นๆ ที่ทำงานอย่างที่ว่านี้ เป็นการ
ป้องกันไม่ให้เกิดอัคคีภัย หรือป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมก็มี
ฉะนั้น ความร่วมมือกับองค์การ ส่วนราชการหรือมูลนิธิ หรือหน่วยงานอื่นๆ ทั้งทำงราชการหรือเอกชน ก็จะต้องทำให้กว้างขวางยิ่งๆ ขึ้น จึงจะได้ผลดี แต่ว่าการที่ราชประชานุเคราะห์จะรับงานหรือแบกงานนี้ ทั้งหมดนี้ไว้เองก็ไม่เหมาะ แล้วก็จะกลายเป็นจะทำทุกอย่าง อันนี้ จะเป็นเรื่องของบานปลาย แม้จะเดี๋ยวนี้ ๒๐ ปีแล้ว คอยอีก ๒๐ ปีข้างหน้ำ จะขยายอีกก็รู้สึกว่าอย่างไร อย่างไรก็จะเป็นการบานปลาย
ที่ถือโอกำสได้พูดถึงความคิดเหล่านี้ ก็เพราะว่าเห็นว่ามีการประชุมกัน มีคนเป็นจำนวนมากมาจำกทั้งส่วนกลางและส่วนจังหวัดต่างๆ และจำกสถาบันองค์การมูลนิธิอะไรอื่นๆ ด้วย ก็เลยถือโอกำสที่จะแสดงความคิดเห็นบ้าง ความจริงการที่แสดงความคิดเห็นนี้มิได้แก้ปัญหา แต่ตรงข้ามอาจจะสร้างปัญหาขึ้นมา แต่คนเราถ้าไม่มีปัญหา สมองคนเราก็อาจจะขี้เกียจ ไม่คิด แล้วก็การไม่คิดนี้ย่อมมีโทษ เพราะว่าถ้าเราทำไปๆ ทำงานอะไรไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ก็อาจทำให้บกพร่องได้ผิดพลาดได้ฉะนั้น ก็เมื่อทำอะไรก็ต้องพิจำรณา และเมื่อพิจำรณาแล้วก็อาจจะเห็นสิ่งที่ดี สิ่งที่บกพร่องสิ่งที่ดีเราก็ชื่นชมได้ และทำให้ได้ผลดียิ่งขึ้น สิ่งที่บกพร่องเราอาจจะหาทำงแก้ไข ถ้าแก้ไขยังไม่ได้ก็คิดและปรึกษากัน อาจจะแก้ไขต่อไปได้ จึงทำให้งานที่เป็นของมูลนิธิดีขึ้น จึงทำให้งานของผู้ที่เป็นผู้ช่วย คือ หมายความว่าองค์การหรือหน่วยงานที่ร่วมมือกับมูลนิธิ สามารถที่จะแก้ไขในส่วนกลางเขาได้ จึงทำให้มีความปลอดภัย มีความเจริญรุ่งเรือง สำหรับส่วนรวมได้ดีขึ้น ขอฝากความคิดดังนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ทั้งกรรมการและผู้ที่มาช่วยร่วมมือสมทบในมูลนิธิ แล้วก็ขอขอบใจทุกคนที่ร่วมมือ พูดถึงผู้ที่ทำงาน คือ พวกอาสาสมัครราชประชานุเคราะห์ ซึ่งได้ทำงานหนักมาก และต้องทำงานเกือบทุกวัน ก็เห็นได้ว่า ในหนังสือพิมพ์เขาบอกว่า ไฟไหม้ซึ่งเดี๋ยวนี้ไฟไหม้วันละสามรายคือไม่ใช่ เป็นเหตุการณ์นำนๆ ที่มีภัยธรรมชาติมีทุกวัน ยังมีการบ่นว่า ฝนตกทีไรน้ำก็ท่วม นี้ก็เห็นลงหนังสือพิมพ์ ก็ไม่ทราบว่าหนังสือพิมพ์เขาจะแขวะใคร แต่ว่ามันก็เป็นความจริงเหมือนกัน
ดูเหมือนว่าฝนตกที น้ำก็ท่วมที เวลามีน้ำมากก็บ่น น้ำน้อยก็บ่น อันนี้คนเราก็เป็นอย่างนี้ แต่ว่าถ้าช่วยกันคิด ช่วยกันทำก็ได้ผล
ตะกี้นี้ ก็กำลังขอบใจ เจ้าหน้ำที่ผู้ที่ปฏิบัติงาน เห็นว่าเขาทำงานมาก ต้องทำงานทุกๆ วันแล้วก็เป็นอาสาสมัครทั้งนั้น ไม่ใช่ว่า เป็นว่า เป็นอาชีพ แต่ว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจที่อยากจะช่วย บางคนก็มีงานส่วนตัวของตน แล้วก็ยังไม่หลับไม่นอน ยังไปช่วยคนอื่นในเมื่อมีความจำเป็น อันนี้ก็น่า
ยกย่อง แล้วก็ขอขอบใจ สำหรับผู้ที่นอกจำกอุทิศกำลังกำย กำลังทรัพย์ ช่วยทำให้มูลนิธิดำเนินงานได้ซึ่งขาดการสร้างสนับสนุนในทำงกำลังทรัพย์นั้น มูลนิธิก็ดำเนินงานนั้นยากเหมือนกัน เพราะว่าจำต้องมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย
ตามที่รายงานค่าใช้จ่ายนั้น ที่จริงก็จำนวนนับว่าน้อย เพราะว่าไม่ได้นับการช่วยเหลือซึ่งให้ตรงๆ จำกที่ให้ไปถึงผู้ที่ประสบภัยโดยตรง แล้วก็ไม่ได้นับที่หน่วยราชการ หรือมูลนิธิเอกชนต้องใช้จ่ายในการบรรเทาทุกข์ ในการช่วยเหลือซึ่งก็จำนวนมากมายฉะนั้น กำลังทรัพย์นี่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ รวมแล้วกำลังกำย กำลังจิตใจ กำลังทรัพย์ รวมกันไปก็เป็นกำลังที่สูงที่จะช่วยได้ ถ้าร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ถ้าไม่ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ต่างคนต่างทำรู้สึกว่าจะไม่มีผลดีนัก คือทำให้งานแต่ละคนไปกันคนละทำง ไม่สามารถที่จะบรรลุผลสำร็จให้ดีก็เป็นอย่างว่า เป็นการกระจุยกระจำยอีกชนิดหนึ่ง นอกจำกบานปลาย ก็กระจุยกระจำย ทำงานคนละทีสองที คนละทำง สองทำง ก็เป็นการกระจุยกระจำยเหมือนกันฉะนั้น ก็ขอขอบใจทุกคน ทั้งฝ่ายที่ปฏิบัติงาน ทั้งฝ่ายที่ได้ร่วมมือช่วยเหลือมูลนิธิ เพื่อสามารถช่วยเหลือส่วนรวม ก็ขอขอบใจและขอขอบใจที่ว่าได้ช่วยกัน ทำงานร่วมกัน สมกับที่ว่า มีชื่อว่าราชประชานุเคราะห์
คำว่า “ราชประชานุเคราะห์” ที่จริงก็มาจำกอนุเคราะห์ สงเคราะห์ช่วยเหลือราชประชาประชาชน แล้วก็พระราชา ร่วมกันหมด ราชประชานุเคราะห์ก็อาจจะเป็นประชาชนร่วมกับประชาชนก็ได้ ช่วยกันเพื่ออนุเคราะห์กัน หรือประชาชนก็ช่วยพระราชา พระราชาก็ช่วยประชาชนชื่อนี้ ก็ให้สมชื่อ ที่อนุเคราะห์กัน
ฉะนั้น อันนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ขอขอบใจอีกครั้ง ขอขอบใจทุกคน ไม่ว่าเป็นผู้ที่อุทิศกำลังกำยหรือกำลังทรัพย์ หรือกำลังความคิด รวมๆ ไป ขอขอบใจทุกคนที่มาอยู่ในที่นี้พร้อมกัน และที่ยังทำงานพร้อมกัน จะมีหน้ำที่อะไร คิดถึงหน้ำที่ของคนอื่น แล้วก็ร่วมมือกัน อันนี้ ก็เป็นผล ให้ส่วนรวมของเราอยู่ดี กินดี ใครประสบภัย เมื่อไรก็รู้แน่ว่า ไม่ต้องห่วงมากนัก เพราะรู้แน่ว่า มีคนอื่น ที่เขาเมตตาและผู้ที่เมตตาในวันนี้ ไม่ใช่แช่ง แต่ว่า คนเราอาจจะประสบภัยก็ได้ เมื่อไรก็ได้ ประมาทไม่ได้ ก็รู้ว่าวันนี้เราสบาย เราก็ช่วยผู้ที่ไม่สบาย วันไหนถ้าเราไม่สบาย ก็มีผู้ที่เขาสบายอยู่ ก็ช่วยเหลือเรา ถ้าทุกคนทำงานด้วยหลักนี้ด้วยทุกคนก็สบายพอสมควร เพราะโลกนี้ก็มีสบายบ้าง ไม่สบายบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่สบาย แต่ถ้าทราบว่าเมื่อไม่สบาย มีคนเขายังมีความเมตตากรุณา ความสบายจะกลับมาฉะนั้น ก็รวมๆ ทั้งหมด ที่ขอบใจครั้งที่สามแล้ว ก็ขอให้ทุกคนมีความสำเร็จในงานการมีความสุขความสบาย อย่าประสบภัยใดๆ เพื่อที่จะสามารถไปช่วยผู้ที่ประสบภัย ให้ผู้ที่ประสบภัยนั้นหายทุกข์ได้โดยเร็ว และทำให้ส่วนรวมของเราเป็นส่วนรวมที่น่าอยู่ และเป็นส่วนรวมที่น่านับถือใครเห็น ใครก็ต้องชมว่า เราอยู่ด้วยความสามัคคี ด้วยความช่วยเหลือ ด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นสังคมที่น่าดู เป็นสังคมที่น่าชม ขออวยพรทุกคนให้ได้รับประโยชน์ และความสำเร็จ
ในสิ่งที่ปรารถนำทุกอย่าง.
พระราชทานแก่คณะกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ส่วนกลางคณะกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ประจำจังหวัด ผู้มีจิตศรัทธานักเรียนทุนพระราชทานการศึกษาสงเคราะห์ และสื่อมวลชน